วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภาษีรถยนต์หรู(Luxury Car/ Supercar Tax)

การจัดเก็บภาษีจากรถยนต์หรูหรือที่เราเรียกกันว่า Luxury Car/ Supercar Tax นั้น มุ่งเป้าไปที่การจัดเก็บภาษีตามหลักความสามารถในการจ่ายภาษี (Ability to Pay Principle) โดยมีสมมติฐานว่า ผู้ซื้อรถเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะร่่ารวย จึงเป็นโอกาสให้รัฐจัดเก็บภาษีเพื่อน่าเงินส่วนหนึ่งมาพัฒนาประเทศ หรือช่วยหลือคนยากจนในต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย มีการจัดเก็บภาษี Luxury Car/ Supercar บ้างแล้วแต่ก็มีบางประเทศ นั่นคือ สหรัฐอเมริกา ได้จัดเก็บภาษีรถประเภทดังกล่าว ในปี 1990 แต่ได้ยกเลิกแล้วเมื่อปี 2002
การจัดเก็บภาษีใน 2 ประเทศ ดังกล่าวมีลักษณะ ดังนี้
1. ออสเตรเลีย เริ่มจัดเก็บภาษี Luxury Car Tax เมื่อปี 2000 โดยจัดเก็บภาษีกับรถยนต์ที่มีมูลค่าเกินกว่า 57,466 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (*ประมาณ 1,805,543 บาท) ซึ่งจะเก็บภาษีครั้งเดียวในตอนที่บุคคลซื้อรถยนต์ Luxury Car จากตัวแทนจัดจ่าหน่าย
ออสเตรเลีย มีการจัดเก็บภาษี Luxury Car/ Supercar บ้างแล้วแต่ก็มีบางประเทศ นั่นคือ สหรัฐอเมริกา ได้จัดเก็บภาษีรถประเภทดังกล่าว ในปี 1990 แต่ได้ยกเลิกแล้วเมื่อปี 2002 การจัดเก็บภาษีใน 2 ประเทศดังกล่าวมีลักษณะ ดังนี้
1. ออสเตรเลียเริ่มจัดเก็บภาษี Luxury Car Tax เมื่อปี 2000 โดยจัดเก็บภาษีกับรถยนต์ที่มีมูลค่าเกินกว่า 7,466 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (*ประมาณ 1,805,543 บาท) ซึ่งจะเก็บภาษีครั้งเดียวในตอนที่บุคคลซื้อรถยนต์ Luxury Car จากตัวแทนจัดจ่าหน่าย(Dealer) หรือในกรณีที่บุคคลสั่งรถยนต์เข้าจากต่างประเทศ โดยรัฐจะเก็บภาษีเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตไม่เกิน 2 ปีส่วนรถยนต์เก่าเกิน 2 ปี ไม่มีการจัดเก็บภาษีการจัดเก็บทั้ง 
2 รูปแบบ มีอัตราภาษีที่ร้อยละ 33 ของราคารถยนต์(ราคารวมกับภาษีสินค้าและบริการ GST แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ ของรัฐ เช่น อากร ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน และประกันรถยนต์ชั้น 3) แต่ก็มีการลดหย่อนให้กับรถยนต์ Luxury Car บางประเภทเช่นกัน ได้แก่รถบ้าน (Campervan)รถที่ใช้ในงานพาณิชย์ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาเพื่อบรรทุกผู้โดยสารรถประหยัดพลังงาน (ใช้น้้ามัน 7 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร
หรือน้อยกว่า)ยกเว้นภาษีให้กับรถส้าหรับขนส่งผู้พิการ
ทั้งนี้ ในปี 2010 – 2011 
รัฐบาลออสเตรเลียจัดเก็บภาษี Luxury Car ได้ 479 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (*ประมาณ 14,493 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 0.17 ของรายรับทั้งหมด2. สหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1990 – 2002สหรัฐอเมริกาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากรถยนต์ที่มีราคาขายสูงกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (*ประมาณ 926,278 บาท) 
ใน 3 กรณี 
(1) กรณีผู้ซื้อรถจากการขายปลีกครั้งแรก (1st Retail Sale)
(2) กรณีเช่าซื้อรถ
(3) กรณีติดตั้งชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถยนต์ Luxury Car เพิ่มเติม (ภายใน 6 เดือนนับจาก
วันที่ใช้งานรถยนต์วันแรก)ประเภทของรถยนต์ที่ถูกจัดเก็บภาษีมีอัตราภาษีอยู่ที่ร้อยละ 10 ของราคาขาย ได้แก่รถยนต์ที่มีราคาเกิน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (*ประมาณ926,278 บาท) และมีน้่าหนักไม่เกิน 2,721.5 กิโลกรัมรถ Limousinesและมีการลดหย่อนภาษีให้กับรถ 2 ประเภท คือ รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า
รถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์พลังงานสะอาดยกเว้นภาษีให้กับรถ Taxiรถต้ารวจรถดับเพลิง รถกู้ภัย รถคนพิการ รถที่มีการปรับแต่ง-สมรรถนะ โดยใช้ชิ้นส่วนที่มีราคาไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ 
(*ประมาณ 30,875 บาท)รถยนต์ที่เช่าซื้อแบบระยะยาว (Long Term Lease ส้าหรับประเทศไทยปัจจุบันรถ Luxury Car/ Supercar ถูกเก็บภาษีตามหลักเกณฑ์ของรถทั่วไป โดยจะต้องช้าระภาษี 4 ประเภท คือ
ภาษีรถยนต์ประจำปี
อากรขาเข้า
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีสรรพสามิต
อย่างไรก็ดี ในอนาคตหากสามารถก่าหนดค่านิยามของรถ Luxury Car/ Supercar ที่ชัดเจน และก่าหนดกลไกการบริหารจัดเก็บภาษีรถดังกล่าวได้เหมาะสมและมีความเป็นธรรม ภาษี Luxury Car/ Supercar ก็อาจเป็นทางเลือกใหม่ให้กับระบบภาษีของประเทศไทยก็เป็นได้ด้วยเหตุผลของความเป็นธรรมในการรับภาระภาษีและความสามารถในการช่าระภาษี ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

สุดยอด 10 อันดับรถยนต์หรูที่ราคาแพงที่สุดในโลก

มายบัค เอ็กซ์เซเลโร่ (Maybach Exelero) ราคา 8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 240 ล้านบาท

          สุดยอดรถยนต์หรูจากเยอรมนี ความพิเศษอยู่ที่มันถูกผลิตเพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น ซึ่งสร้างมาจากแรงบันดาลใจของรถยนต์สปอร์ตในช่วงปี 1930และ มายบัค 57 ลีมูซีน (Maybuch 57 limousine) รถหรูรุ่นดั้งเดิม โดยรถยนต์คูเป้สองที่นั่งคันนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ ให้กำลัง700 แรงม้า สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 350 กม./ชม. แม้จะมีน้ำหนักรถถึง 2,600 กิโลกรัมก็ตาม

          สำหรับที่มาของรถยนต์หรูราคาแพงคันนี้ เริ่มต้นจาก Fulda Tire บริษัทผลิตยางรถยนต์คุณภาพสูงในประเทศเยอรมนี ต้องการรถยนต์คันใหม่เพื่อใช้ทดสอบสมรรถนะของยางรถยนต์รุ่นใหม่ ดังนั้น เดมเลอร์ (Daimler) บริษัทต้นสังกัดจึงผลิตรถคันดังกล่าวออกมาในปี 2005 โดยการออกแบบรถยนต์คันนี้ได้ทำการจัดประกวดระหว่างนักเรียนออกแบบยานยนต์ในประเทศเยอรมนี และได้ผู้ชนะเข้าไปร่วมงานเพื่อสร้างเอ็กซ์เซเลโร่ขึ้นมา

          หลังจากที่ Fulda Tire เลิกใช้รถคันนี้แล้ว ก็ได้ทำการขายให้กับนักธุรกิจอัญมณีที่ชื่อ อังเดร แจ๊คสัน ในราคา 7.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งช่วงนี้เองที่แจ๊คสันได้ให้เจย์-ซี แร็ปเปอร์ชื่อดังนำเอ็กเซเลโร่ไปประกอบฉากในมิวสิกวิดีโอ เพลง Lost one ก่อนที่จะขายให้กับเจ้าของปัจจุบัน ไบรอัน วิลเลี่ยม หรือ เบิร์ดแมน แร็ปเปอร์ชื่อดังอีกคนหนึ่งด้วยราคา 8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 240 ล้านบาท ในปี 2011 มันจึงเป็นรถยนต์ที่ซื้อขายโดยไม่ผ่านการประมูลที่มีราคาสูงที่สุดตอนนี้

โรลส์-รอยซ์ ไฮเปอเรียน พินินฟารินา (Rolls-Royce Hyperion Pininfarina) ราคา 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 210 ล้านบาท

          พินินฟารินา สำนักออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชื่อดังจากอิตาลีที่มีผลงานโดดเด่นอย่างการออกแบบยอดรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ตั้งแต่ยุค 1950 แต่ครั้งนี้ได้ออกแบบรถยนต์ร่วมกับ โรลส์-รอยซ์ ค่ายรถหรูจากสหราชอาณาจักร เพื่อเป็นรถสำหรับเทศกาลจัดแสดงรถหรู Concours d’Elegance โดยชื่อไฮเปอเรี่ยนนั้น มาจากยักษ์ในตำนานปกรณัมของกรีก ซึ่งเหมาะสมกับรูปลักษณ์การออกแบบอย่างมาก

          ไฮเปอเรี่ยนเป็นรถที่ผลิตเพียง 1 คันเพื่อจัดแสดงในงานดังกล่าวเท่านั้นในปี 2008 ตัวถังทั้งหมดใช้คาร์บอนไฟเบอร์ รูปทรงที่คงเอกลักษณ์ความเป็นโรลส์-รอยซ์อย่างครบถ้วน พร้อมไฟ LED ดีไซน์พิเศษที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหลังจากเสร็จงานแสดงแล้ว โรลส์-รอยซ์ก็ได้นำสุดยอดรถหรูคันนี้ไปโชว์ที่พิพิธภัณฑ์ของค่ายเอง ซึ่งหัวหน้าทีมออกแบบรถคันนี้ ได้ประเมินมูลค่าและให้ราคาสูงถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ
          แต่แล้ว โรลส์-รอยซ์ ไฮเปอเรี่ยยนก็หายไป และไปปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ที่ดีลเลอร์ของโรลส์-รอยซ์ที่อาบูดาบี ซึ่งทางดีลเลอร์เองก็ไม่ได้ตั้งราคาอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินของสื่อหลายสำนัก พบกว่า โรลส์-รอยซ์ คันนี้มีราคาขายถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 210 ล้านบาท นับว่าเป็นมูลค่าที่เหมาะสมกับงานศิลปะติดล้อคันนี้จริง ๆ
 โคอีนิกเซ็ก ซีซีเอ็กซ์อาร์ ทรีวิตา (Koenigsegg CCXR Trevita) ราคา 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 145.5 ล้านบาท

          ยอดซูเปอร์คาร์จากประเทศสวีเดน มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ทวินซูเปอร์ชาร์จ ความพิเศษคือสามารถใช้น้ำมัน E85 และ E100 ได้โดยให้สมรรถนะได้เท่ากับน้ำมันออกเทน 98 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 400 กม./ชม. และมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.9 วินาที

          โดย โคอีนิเซ็ก ซีซีเอ็กซ์อาร์ มีรุ่นพิเศษที่ชื่อ ทรีวิตา ตัวถังสวยงามด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ประกายเพชร ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีพิเศษในการสร้างขึ้น ให้ความแวววาวบนพื้นผิวที่แข็งแกร่งอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเพิ่มออปชั่นต่าง ๆ อย่าง สปอยเลอร์เคลือบประกายเพชร, เบรกเซรามิกคุณภาพสูงพร้อม ABS ที่หยุดได้ดั่งใจ, มาตรวัดภายในดีไซน์พิเศษ และโช้คอัพไฮโดรลิกสำหรับรถซูเปอร์คาร์

          นอกจากนี้ รุ่นทรีวิตา ยังถูกสร้างขึ้นมาเพียง 3 คันเท่านั้น และได้ขายให้กับเศรษฐีสหรัฐฯ ไปแล้ว 2 คัน ด้วยมูลค่าที่ตั้งจากโรงงาน 4.85 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 145.5 ล้านบาทและนับเป็นรถยนต์ที่ผลิตเชิงพาณิชย์ที่มีราคาสูงที่สุดที่เคยมีมา

เฟอร์รารี่ P4/5  พินินฟารินา (Ferrari P4/5 Pininfarina) ราคา 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท

          เฟอร์รารี่คันนี้เป็นรถที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัทออกแบบชื่อดัง พินินฟารินา ซึ่งผลงานชิ้นนี้เป็นงานดีไซน์พิเศษที่ออกแบบมาให้เฉพาะมหาเศรษฐีและนักลงทุนชาวสหรัฐฯ เจมส์ กริกเกนเฮาส์ โดยรถรุ่นดังกล่าวได้ใช้พื้นฐานโครงสร้างของ เอ็นโซ เฟอร์รารี่ (Enzo Ferrari) ผสานแรงบันดาลใจของรถแข่งของเฟอร์รารี่ในยุค 1960 จนได้ออกมาเป็นรูปลักษณ์อย่างที่เห็น

          ความหรูหราสุดยอดของ P4/5 นั้น เริ่มตั้งแต่เครื่องยนต์ Dino F140 V12 6,000 ซีซี ที่ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 375 กม./ชม. ภายนอกใช้วัสดุจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยขึ้นรูปทรงแบบเดียวกับเฟอร์รารี่ F330 P4 ตามที่กริกเกนเฮาส์ได้ขอไว้ พร้อมประตูปีกผีเสื้อดีไซน์พิเศษที่ไม่มีเสียงลมลอดเข้ามาได้แม้จะขับเร็วถึง 160 กม./ชม.

          นอกจากนี้ ภายในยังเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ซึ่งกริกเกนเฮาส์เป็นคนควบคุมการออกแบบเองทั้งหมด ประกอบด้วยแท็บเล็ตที่แสดงภาพของรถเป็นสามมิติ พร้อมระบบแจ้งเตือนการซ่อมบำรุง ปรับปรุงระบบปรับอากาศ และออกแบบโรลบาร์ใหม่ เพราะของเดิมที่ใช้ในเอ็นโซ เฟอร์รารี่นั้น แคบจนบดบังทัศนวิสัยของผู้ขับ เบาะนั่งยังสั่งทำพิเศษโดยการสแกนร่างกายของกริกเกนเฮาส์และลูกชายของเขา พร้อมทั้งตัดเย็บด้วยหนังสีดำและแดงที่เลือกโดยลูกสาวของเขาเอง นอกจากนี้ พินินฟารินา ยังจัดระบบการเดินสายไฟใหม่ที่ลดน้ำหนักรถลงไปอย่างไม่น่าเชื่อถึง 270 กิโลกรัมเลยทีเดียว

          สำหรับ เฟอร์รารี่ P4/5 คันนี้ แน่นอนว่าถูกสร้างมาเพียงคันเดียวและเป็นของครอบครัวกริกเกนเฮาส์เท่านั้น ซึ่งเฟอร์รารี่และพินินฟานิรา คิดเงินกับเศรษฐีผู้นี้เพียง 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 144 ล้านบาทเท่านั้น  

เฟอร์รารี่ เอสพี 12 อีริค แคลปตัน (Ferrari SP12 EC) ราคา 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 141 ล้านบาท

          ม้าคะนองรุ่นพิเศษที่ผลิตเพียงคันเดียวเท่านั้นสำหรับ อีริค แคลปตัน มือกีตาร์ชื่อดังก้องโลก โดยเฟอร์รารี่ได้ร่วมมือกับพินินฟารินา ทีมนักออกแบบคู่บารมี สร้างสรรค์รถคันนี้บนพื้นฐานจาก เฟอร์รารี่ 458 อิตาเลีย (Ferrari 458 Italia) และ เฟอร์รารี่ 512 บีบี (Ferrari 512 BB) ซึ่งแคลปตันเคยใช้งานมาก่อน

          สำหรับรายละเอียดของรถรุ่นดังกล่าว ยังไม่มีการเปิดเผยใด ๆ อย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้อมูลรถเหล่านี้จะถูกเก็บเป็นความลับเพราะเป็นรถยนต์ที่สั่งทำเฉพาะ แต่คาดการณ์ว่าจะใช้เครื่องยนต์ V8 4,500 ซีซี พร้อมเกียร์ธรรมดาคลัชคู่ 7 สปีด แต่ราคาได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่ามือกีตาร์ Slow Hand (ฉายาของแคลปตัน) ได้ทุ่มเงินไป ประมาณ 4.7 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 141 ล้านบาทซึ่งเขาพอใจกับผลงานที่ออกมาค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ลัมบอร์กินี เวเนโน (Lamborghini Veneno) ราคา 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาท 

          สุดยอดรถจากค่ายกระทิงดุที่ผลิตแบบจำกัดจำนวนสุด ๆ เพียง 3 คันในโลกเท่านั้น โดย ลัมบอร์กินี เวเนโน สร้างจากพื้นฐานรถรุ่นอาเวนทาดอร์ (Lamborghini Aventador) ด้วยตัวถังไฟบอนคาร์เบอร์ที่ได้รับการออกแบบมาจนมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ พร้อมด้วยช่องลมจำนวนมากที่ช่วยเรื่องการทรงตัวของรถ แรงสุดยอดด้วยเครื่องยนต์ V12 6,500 ซีซี 750 แรงม้า ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 2.8 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 354 กม./ชม.

          กระทิงดุนาม เวเนโน ถูกสร้างขึ้นในโอกาสครบรอบ 50 ปีของลัมบอร์กินี และเปิดตัวไปแล้วในงานแสดงรถ Geneva Motor Show 2013 และผลิตเพียง 3 คันเท่านั้น ซึ่งมีเพียงสีเขียว ขาว แดง ตามสีธงชาติของประเทศอิตาลี โดยมีสองคันส่งมอบให้ลูกค้าที่สหรัฐฯ แล้ว ส่วนอีกคันหนึ่งได้รับการเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งราคาที่ค่ายกระทิงดุตั้งไว้คือ 4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 120 ล้านบาท

 บูกัตติ เวย์รอน 16.4 ซูเปอร์สปอร์ต แซง นอร์ (Bugatti Veyron 16.4 Super Sport Sang Noir) ราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท
          เจ้าของสถิติยานยนต์เร็วที่สุดในโลกจากบันทึกของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด เมื่อปี 2010 (แต่ถูกถอดจากตำแหน่งเพราะพบว่าดัดแปลงเครื่องไม่ตรงกับกติกา) พกพาเครื่องยนต์ 8,000 ซีซี W16 ซึ่งมีวาล์วจ่ายน้ำมันมากถึง 64 วาล์ว พร้อมด้วยเทอร์โบชาร์จ 4 ตัว ให้กำลัง 1,200แรงม้า ผสานเกียร์อัตโนมัติคลัชคู่ 7 สปีดที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน พัฒนาและออกแบบให้เปลี่ยนเกียร์ด้วยเวลาเพียง 150 มิลลิวินาที สร้างโดย ริคาโด และ บอล์ก วอนเนอร์ บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ชื่อดังที่คิดค้นระบบเกียร์ DSG ซึ่งใช้ในโฟล์คสวาเกนได้อย่างดีเยี่ยมเพียงแค่ระบบเกียร์อย่างเดียวก็มีราคาถึง 120,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว

          การออกแบบภายนอกคำนึงถึงหลักการอากาศพลศาสตร์หรือแอโรไดนามิกมากทีเดียว ด้วยการสร้างเส้นสายที่เพิ่มแรงกดเพื่อไม่ให้รถลอยเมื่อต้องวิ่งด้วยความเร็วสูง พร้อมด้วยปีกอัตโนมัติที่ช่วยให้รถสามารถยึดเกาะถนนได้ดี ใส่ช่องอัดอากาศที่ด้านหลังเพื่อระบายความร้อน และช่องลมด้านข้างระบายความร้อนของเบรก โดยทุกการออกแบบของรถคันนี้เน้นใช้ประโยชน์จากลมให้มากที่สุด และด้วยคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่ช่วยให้รถสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

          สำหรับ บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต เป็นรถรุ่นที่ทำสถิติความเร็วสูงที่สุดในโลกที่มีการบันทึกไว้เมื่อปี 2010 ด้วยความเร็ว 434 กม./ชม.โดยรุ่นแซง นอร์ นั้นเป็นรุ่นที่มีราคาสูงสุด มีรูปลักษณ์ภายนอกเคร่งขรึมด้วยสีดำสนิท ต่างจากรุ่นมาตรฐานที่เป็นสีดำและส้ม ภายในรุ่นแซง นอร์ แสบซ่าด้วยสีส้มที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ด้วยราคาที่สูงกว่ารุ่นปกติถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ เวย์รอน แซง นอร์ มีราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท


                                                           
                                                     @ ภาษีรถยนต์หรู @




ดับบลิว มอเตอร์ ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต (W Motor Lykan Hypersport) ราคา 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 102 ล้านบาท

          ซูเปอร์คาร์คันแรกที่ผลิตโดยชาวอาหรับ ในนามของดับบลิว มอเตอร์ แห่งเมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรต ซึ่งตั้งใจรังสรรค์ความงามที่ได้แรงบันดาลใจจากรถหุ้มเกราะของกองทัพ นำมาดัดแปลงจนมีหน้าตาเป็นรถสปอร์ตสุดโฉบเฉี่ยว ภายในมาพร้อมเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบบ็อกเซอร์วางกลางรถที่พัฒนาโดย RUF จากประเทศเยอรมนี ให้กำลัง 750 แรงม้า พารถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.8 วินาที และความเร็วสูงสุด395 กม./ชม.

          สำหรับ ไลแคน ไฮเปอร์สปอร์ต นั้นโชว์ตัวครั้งแรกที่Qatar Motor Show 2013 และได้ประกาศราคาขายรถสปอร์ตสุดดุดันคันดังกล่าวที่ 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 102 ล้านบาท

 เซนโว เอสที 1 (Zenvo ST1) ราคา 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 54 ล้านบาท

          เซนโว ค่ายรถซูเปอร์คาร์จากประเทศเดนมาร์ก ได้สร้างรถซูเปอร์คาร์ตัวแรงสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน(เซนโวเขาว่าอย่างนั้น)อย่าง เซนโว เอสที 1 ที่มีระบบเครื่องยนต์เป็นจุดเด่น ด้วยการมีทั้งเทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จบนเครื่องยนต์ V8 7,000 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 1,100 แรงม้า ผสานการทำงานกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้อัตราเร่งจาก 0-100>>กม./ชม. ใน 3 วินาที ทะยานด้วยความเร็วสูงสุด 375 กม./ชม. นอกจากเครื่องที่แรงสุด ๆ แล้ว รถรุ่นนี้ยังสามารถใช้พลังงานอย่างเอธานอลE85 ได้อีกด้วย

          ทั้งนี้ เซนโว เอสที 1 มีการผลิตขึ้นมาเพียง 15 คันเท่านั้น และได้ส่งมอบให้ลูกค้าทั้งหมดแล้ว โดยราคาที่ค่ายรถตั้งไว้อยู่ที่ 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 54 ล้านบาทพร้อมกับของแถมเป็นนาฬิกาข้อมือมูลค่าถึง 50,000 เหรียญสหรัฐ


ชัปพัน 962 ซีอาร์ (Schuppan 962CR) ราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45 ล้านบาท

          ยอดรถสปอร์ตที่สร้างโดย เวิร์น ชัปพัน (Vern Schuppan) ยอดนักแข่งรถชาวออสเตรเลียในปี 1994 เพื่อสรรเสริญชัยชนะของเขาในการแข่งขันรถ 24 Hours Le Man หที่ต้องขับขี่ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และ All Japan Sport Prototype ที่รวบรวมรถต้นแบบต่าง ๆ มาแข่งขันกัน โดยเจ้า 962ซีอาร์นี้ ถูกสร้างบนพื้นฐานของ ปอร์เช่ 962 (Porsche 962) ที่ชัปพันใช้ชนะการแข่งขัน  Le Mansนั่นเอง

          รถรุ่นดังกล่าวใช้เครื่องยนต์ขนาด 3,300 ซีซี ทวินเทอร์โบที่ให้กำลัง 600 แรงม้า ซึ่งมีความเร็วเหลือเชื่อที่ 370 กม./ชม. และพุ่งจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 3 วินาที โครงสร้างตัวถังของรถคันนี้ สร้างและออกแบบโดยชัปพันทั้งหมด โดยมีการประกอบขึ้นที่เมืองบัคกิ้งแฮม ประเทศอังกฤษ โดยมีนายทุนชาวญี่ปุ่นที่สนับสนุนชัปพันตั้งแต่การแข่งออล แจแปน สปอร์ต โปรโตไทป์เป็นผู้ร่วมทุนด้วย

          อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า ชัปพัน 962 ซีอาร์ ผลิตออกมาทั้งหมดกี่คัน แต่คาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ 5-6 คัน โดยราคาของมันสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 45 ล้านบาท แต่ดันออกมาผิดจังหวะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในยุคปลาย 1990 ส่งผลให้ยอดการซื้อน้อย ทำให้บริษัทต้องประสบปัญหาการเงินจากการขาดทุนและต้องล้มละลายในที่สุด


          เรื่องราวของรถยนต์หรูเหล่านี้คู่ควรกับราคาที่แสนแพงจริง ๆ ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่มูลค่าอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ามาจากคุณสมบัติที่ขึ้นชื่อเฉพาะตัวของรถแต่ละคันนั่นเองที่ผู้ผลิตรถยนต์ต่างพยายามทุ่มเทสร้างยนตกรรมเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งเต็มไปด้วยความอุตสาหะเกินกว่าจะตัดสินด้วยราคาค่าตัวเลยล่ะครับ